สะเดา
ชื่ออื่น กะเดา สะเลียม จะตัง สะเดาบ้าน เดา ไม้เดา กาเดา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Azadirachta indica Juss. var. Siamensis Valeton
วงศ์ MELIACEAE
ชื่อสามัญ Holy tree, Pride of China, Indian Margosa Tree, Neem Tree.
แหล่งที่พบ พบทั่วไปทุกภาค
ประเภทไม้ ไม้ยืนต้น
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น ไม้ยืนต้นขนาดกลางผลัดใบ สูงประมาณ 8-15 เมตร เส้นรอบวงของต้น 80-200 ซม. เรือนยอดเป็นพุ่มกลมหรือคล้ายเจดีย์ต่ำแตกกิ่งก้านสาขา เปลือกของลำต้นสีน้ำตาลเทาหรือเทาปนดำ แตกระแหงเป็นร่องเล็กๆ หรือเป็นสะเก็ดเป็นร่องยาวตามต้น แต่เปลือกของกิ่งอ่อนเรียบ ยอดอ่อนที่แตกใหม่มีสีน้ำตาลแดง
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ใบย่อยฐานใบไม่เท่ากัน รูปใบหอกปลายสอบ ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย กว้าง 3-4 ซม. ยาว 4-7 ซม. สะเดาจะผลิใบใหม่พร้อมกับผลิดอก
ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่งพร้อมใบอ่อน ดอกมีขนาดเล็กกลีบดอกสีขาวมี 5 กลีบ
ผล รูปกลมรีอวบน้ำ เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซม. ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่ผลสีเหลือง ผลมีเมล็ดเดียว แข็ง
ชนิดของสะเดา
สะเดา แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. สะเดาอินเดีย มีลักษณะขอบใบหยักเป็นฟีนเลื่อย ปลายของฟันเลื่อยแหลมโคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลมเรียวแคบมากคล้ายเส้นขร ผลสุกในเดือน ก.ค.-ส.ค.
2. สะเดาไทย มีลักษณะของใบหยักเป็นฟันเลื่อย แต่ปลายของฟันเลื่อยทู่ โคนใบเบี้ยวแต่กว้างกว่า ปลายใบแหลม ผลสุกในเดือน เม.ย.- พ.ค.
3. สะเดาช้าง หรือต้นเทียม ไม้เทียม ขอบใบจะเรียบ หรือปัดขึ้นลงเล็กน้อย โคนใบเบี้ยว ปลายเป็นติ่งแหลม ขนาดใบและผลใหญ่กว่า 2 ชนิดแรก ผลสุกในเดือน พ.ค.- ส.ค.
** ต้นสะเดาอินเดีย และสะเดาไทย เป็นชนิด (species) เดียวกัน แต่ต่างพันธุ์ (variety) ส่วนสะเดาช้างหรือต้นเทียม ไม้เทียม จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับสะเดาไทย และสะเดาอินเดีย แต่คนละชนิด (species) สะเดาทั้ง 3 ชนิด นี้จะมีลักษณะ ใบและต้นแตกต่าง กันดังกล่าวมาแล้ว
ส่วนที่ใช้บริโภค
ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน
สรรพคุณ
ส่วนที่ใช้ | สรรพคุณ |
ดอก,ยอดอ่อน | แก้พิษโลหิต กำเดา แก้ริดสีดวงในลำคอ คันดุจ ตัวไต่อยู่ บำรุงธาตุ ขับลม ใช้เป็นอาหารผักได้ดี |
ขนอ่อน | ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ |
เปลือกต้น | แก้ไข้ เจริญอาหาร แก้ท้องเดิน บิดมูกเลือด |
ก้านใบ | ใบ แก้ไข้ ทำยารักษาไข้มาลาเรีย |
กระพี้ | แก้ถุงน้ำดีอักเสบ |
ยาง | ดับพิษร้อน |
แก่น | แก้อาเจียน ขับเสมหะ |
ราก | แก้โรคผิวหนัง แก้เสมหะ ซึ่งเกาะแน่นอยู่ใน ทรวงอก |
ใบ,ผล | ใช้เป็นยาฆ่าแมลง บำรุงธาตุ |
ผล | ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ และยาระบาย แก้โรคหัวใจเดินผิดปกติ |
เปลือกราก | เป็นยาฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้อาเจียน แก้โรคผิวหนัง |
น้ำมันจากเมล็ด | ใช้รักษาโรคผิวหนัง และยาฆ่าแมลง |
สารเคมี
ผล มีสารขมชื่อ bakayanin
ช่อดอก มีสารพวกไกลโคไซด์ ชื่อ nimbasterin 0.005% และน้ำมันหอมระเหยที่มีรสเผ็ดจัดอยู่ 0.5% นอกนั้นพบ nimbecetin, nimbesterol, กรดไขมัน และสารที่มีรสขม
เมล็ด มีน้ำมันขมชื่อ margosic acid 45% หรือบางที่เรียก Nim Oil และสารขมชื่อ nimbin, nimbidin
การปลูกสะเดา
การเตรียมพื้นที่ ไถพรวนปรับพื้นที่ให้เรียบ เก็บเศษไม้และวัชพืช สุมเผาใน ช่วงฤดูร้อน แล้วปักหลักกำหนดระยะปลูก
ระยะปลูก ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการปลูก เช่น ต้องการไม้ขนาดเล็ก ใช้ระยะปลุก 1×2 หรือ 2×2 เมตร ต้องการไม้ใหญ่ สำหรับใช้ในการก่อสร้างและ ทำเฟอร์นิเจอร์ ใช้ระยะปลูก 2×4 หรือ 4×4 เมตร ต้องการเมล็ดไปทำสารฆ่าแมลง ใช้ระยะปลูก 6×6 เมตร แต่เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ อาจปลูกระยะถี่ก่อน เมื่อเรือนยอด เบียดชิดกันจึงตัดสะเดาบางส่วนไปใช้ประโยชน์ ให้ต้นสะเดาที่เหลือ มีระยะห่างตาม วัตถุประสงค์การปลูกต่อไป
หลุมปลูก ขนาดที่เหมาะสม คือ กว้างxยาวxลึก ประมาณ 25×25x25 ซม.
วิธีปลูก หลังจากขุดหลุมปลูกแล้ว ตากดินประมาณ 1 สัปดาห์เพื่อฆ่าเชื้อโรค ในดิน แล้วจึงใส่ปุ่ยร็อคฟอสเฟส รองก้นหลุม อัตรา 150-200 กรัมต่อหลุม หรือครึ่งกระป๋องนม แล้วนำกล้าไม้ที่เตรียมไว้ ย้ายลงปลูก ขนาดกล้าไม้ที่ เหมาะสมควรสูง 8-12 นิ้ว อายุประมาณ 4-5 เดือน ฤดูปลูก ควรเป็นฤดูฝน โดยเลือกปลูกหลังจากวันที่ฝนตกหนัก ฉีกถุงพลาสติกใส่กล้าออก วางกล้าลงตรง กลางหลุม กลบดินและกดรอบๆ โคนต้นให้แน่น
การดูแลรักษา
1. การกำจัดวัชพืช ในปีแรกจำเป็นต้องเอาใจใส่กำจัดวัชพืชออกบ้าง เพื่อไม่ให้สูงคลุมเบียดบังแย่งแสง และอาหาร ต้นสะเดา
2. การใส่ปุ๋ย เมื่อกล้าไม้ที่ปลูกตั้งตัวแล้ว ควรเร่งการเจริญเติบโตด้วยการใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 ช้อน กาแฟ โดยการ พรวนดินรอบโคนต้น แล้วปุ๋ยตาม
3. การริดกิ่ง หากต้องการให้สะเดามีลำต้นตรงเปลา ใช้ประโยชน์ในการแปรรูปได้มากขึ้น ควรหมั่นริดกิ่งอยู่ สม่ำเสมอ
4. การป้องกันไฟ ควรทำแนวกันไฟกว้างประมาณ 6-8 เมตร รอบแปลงปลูก เพื่อป้องกันไฟไหม้ ในฤดูแล้ง
การเก็บเกี่ยวผลสะเดา
สะเดาจะเริ่มติดผลเมื่ออายุ 3-5 ปี ให้ทำการเก็บผลสะเดาสุกจากต้นหรือผลที่ ร่วงใหม่ๆ รีบนำมาแยกเนื้อหุ้มผลออกจากเมล็ด แล้วล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำ เมล็ดไปตากแดด 1-2 วัน แล้วนำไป ผึ่งลมในที่ร่มจนแห้งสนิท จึงค่อยบรรจุใส่ภาชนะ ที่มีอากาศถ่ายเท ได้ดี เช่นกระสอบป่าน ถุงตาข่ายไนล่อน เป็นต้น เก็บไว้ในที่แห้งเย็น ไม่อับชื้น เพื่อป้องกันเชื้อรา
อาหารจากสะเดา
น้ำปลาหวานสะเดากุ้งเผา
น้ำปลาหวานสะเดากุ้งเผา
ส่วนผสมน้ำปลาหวาน
น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลมะพร้าว 1 ถ้วยตวง
น้ำปลาดี 1/4 ถ้วยตวง
หอมแดงเจียว 1/4 ถ้วยตวง
กระเทียมเจียว 1/4 ถ้วยตวง
พริกขี้หนูแห้ง (ทอดกรอบ) 10 เม็ด
ผักและเครื่องเคียง
สะเดาลวก (ดอกใบและยอด) 500 กรัม
ผักชีสด (ต้นขนาดกลาง) 400 กรัม
กุ้งเผา (กุ้งทะเลเปลือกขาว ตัวขนาดกลาง) 650 กรัม
วิธีทำ
1. ผสมน้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลเข้าด้วยกันตั้งไฟเคี่ยว ใช้ไฟปานกลาง จนเป็นยางมะตูมอ่อนยกลง ชิมรสให้มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ตักใส่ถ้วยทิ้งให้เย็น โรยด้วยหอมเจียว กระเทียมเจียว พริกขี้หนูแห้งทอด
2. สะเดาล้างน้ำให้สะอาดลวกในน้ำเดือดสัก 2 ครั้ง เพื่อให้ความขมออกไปบางส่วน จะได้ไม่ขมมากเกินไปแล้วนำไปแช่น้ำเย็นเพื่อให้ผักมีสีเขียวสดน่ากินนำขึ้นจากน้ำเย็นให้สะเด็ดน้ำ
3. ผักชีสดล้างน้ำให้สะอาด พร้อมเสิร์ฟ
4. กุ้งทะเลเปลือกขาวตัวขนาดกลาง ล้างให้สะอาด นำไปย่างไฟ กินกับน้ำปลาหวาน สะเดา และผักชี
ข้อแนะนำ
น้ำมะขามเปียก สัดส่วนเนื้อมะขาม 1 ส่วน น้ำ 4 ส่วน
ยำดอกสะเดา
ส่วนผสม
ช่อดอกสะเดา ๒ ถ้วย หมูเนื้อแดงอมมัน ๑ ถ้วย
กุ้งนางครึ่งถ้วย ปลาหมึกลวกสุกครึ่งถ้วย
หอมเจียว ๑ ช้อนโต๊ะ น้ำปลา ๒ ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว ๒ ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย ๑ ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูแห้งทอด ๑๐ เม็ด
วิธีทำ
นำดอกสะเดาลวก รูดเอาเฉพาะดอกลวกน้ำร้อน ๒ ครั้ง ใส่หมูสุกหั่นเป็นชิ้นบางๆ กุ้งเผาปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นบางๆ ปลาหมึกลวก ใส่น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว คลุกให้เข้ากัน จัดใส่จาน โรยหอมเจียม พริกแห้งทอด ปรุงรสตามชอบ
----------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------
สมาชิกกลุ่มผู้ศึกษาพรรณไม้ของต้นสะเดา
๒๒๐๙๖ นายทศพล จันทนามสี เลขที่ ๒
๒๒๑๐๒ นายนุกูล สัตโรจน์ เลขที่ ๗
๒๒๑๐๕ นายยุทธนา ศิริทองจักร เลขที่ ๘
๒๒๑๐๘ นายศิริวัฒน์ ภาภิรมย์ เลขที่ ๑๐
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔/๕ โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์
ทดสอบ
ตอบลบ